ฐานราก (Foundation)

Bangkok Clay คืออะไร? ทำไมถึงมีผลกระทบกับงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ

Bangkok Clay หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่า “ชั้นดินเหนียวกรุงเทพฯ” เป็นชั้นดินเหนียวอ่อนที่มีลักษณะเฉพาะตัว พบมากในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียง ชั้นดินประเภทนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่องานก่อสร้างและการวางแผนวิศวกรรมฐานรากอย่างมาก

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับคุณสมบัติของ Bangkok Clay และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างละเอียด


คุณสมบัติสำคัญของ Bangkok Clay

Bangkok Clay มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากดินประเภทอื่นๆ โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้:

  • มีความอ่อนตัวสูง (High Compressibility)
    ดินเหนียวกรุงเทพฯ สามารถยุบตัวหรือทรุดตัวได้ง่ายเมื่อรับน้ำหนักจากอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
  • ปริมาณน้ำในดินสูง (High Moisture Content)
    ดินชนิดนี้มีปริมาณน้ำในเนื้อดินสูงมาก ทำให้มีลักษณะเหลว อ่อนตัวง่าย ไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีนัก
  • การระบายน้ำต่ำ (Low Permeability)
    มีอัตราการซึมผ่านของน้ำต่ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวช้าลง และใช้เวลานานในการปรับตัวเมื่อรับน้ำหนักจากโครงสร้าง

ผลกระทบของ Bangkok Clay ต่องานก่อสร้าง

  1. ปัญหาการทรุดตัวของอาคาร
    เนื่องจากดินชนิดนี้มีความสามารถในการรับน้ำหนักต่ำ อาคารที่สร้างบนชั้นดินเหนียวกรุงเทพฯ จึงมักเกิดการทรุดตัวที่ไม่สม่ำเสมอในระยะยาว
  2. ต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น
    การก่อสร้างอาคารในพื้นที่ที่มีดินเหนียวอ่อนจำเป็นต้องใช้เสาเข็มที่ยาวและแข็งแรงมากขึ้น เช่น เสาเข็มเจาะหรือเสาเข็มตอกที่ลึกถึงชั้นดินแข็ง เพื่อป้องกันปัญหาการทรุดตัว
  3. ระยะเวลาในการก่อสร้างนานขึ้น
    ขั้นตอนการก่อสร้างที่ซับซ้อนขึ้น เช่น งานฐานราก การติดตั้งเสาเข็ม ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  4. ข้อจำกัดในการออกแบบโครงสร้าง
    จำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสมกับสภาพดิน เช่น การใช้ฐานรากลึกและการเลือกใช้โครงสร้างที่น้ำหนักเบาเพื่อลดแรงกดบนดิน

วิธีแก้ปัญหาและการรับมือกับ Bangkok Clay

ในการจัดการกับปัญหาดินเหนียวกรุงเทพฯ มีหลายแนวทางที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยของโครงสร้างได้ เช่น:

1. การใช้ฐานรากเสาเข็ม (Pile Foundation)

ฐานรากเสาเข็มเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อถ่ายโอนน้ำหนักของอาคารไปยังชั้นดินแข็งที่อยู่ลึกลงไปด้านล่าง

2. การใช้เสาเข็มเจาะ (Bored Pile)

เสาเข็มเจาะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารข้างเคียงได้ดี และสามารถเข้าถึงชั้นดินแข็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การปรับปรุงคุณภาพดิน (Soil Improvement)

ใช้วิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน เช่น การเติมสารเคมี การอัดฉีดซีเมนต์ หรือการใช้ Geotextile เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของดิน


สรุป

Bangkok Clay หรือ ดินเหนียวกรุงเทพฯ เป็นลักษณะเฉพาะของดินที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการก่อสร้างในกรุงเทพฯ การทำความเข้าใจคุณสมบัติและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากดินชนิดนี้ จะช่วยให้วิศวกรและผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถวางแผนโครงการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการทรุดตัวในระยะยาว และช่วยให้โครงสร้างที่สร้างขึ้นมีความมั่นคงแข็งแรง