เหล็ก H-Beam และ I-Beam: แตกต่างกันยังไง นำไปใช้งานแบบไหน

เหล็ก H-Beam และ I-Beam เป็นวัสดุโครงสร้างเหล็กรูปพรรณที่มีบทบาทสำคัญในงานก่อสร้าง ทั้งสองชนิดมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน แต่ละประเภทมีการใช้งานเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับโครงสร้างหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะเปรียบเทียบความแตกต่างและแนะนำการเลือกใช้งานเหล็ก H-Beam และ I-Beam เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสมที่สุด


ความแตกต่างระหว่าง H-Beam และ I-Beam

คุณสมบัติH-BeamI-Beam
ลักษณะหน้าตัดรูปตัว H: ขนาดปีก (Flange) และแกนกลาง (Web) มีขนาดกว้างและหนาเท่ากันรูปตัว I: แกนกลาง (Web) หนากว่าและสูงกว่า ปีก (Flange) แคบกว่า
ความแข็งแรงแข็งแรงทั้งแนวตั้งและแนวนอนแข็งแรงในแนวตั้งมากกว่าแนวนอน
น้ำหนักหนักกว่าเนื่องจากปีกและแกนกลางหนากว่าเบากว่าเมื่อเทียบกับขนาดเท่ากัน
ราคาราคาสูงกว่า เนื่องจากใช้วัสดุมากกว่าราคาถูกกว่า เนื่องจากน้ำหนักเบากว่า
การใช้งานทั่วไปใช้ในโครงสร้างที่ต้องการรองรับน้ำหนักในแนวตั้งและแนวนอนใช้ในโครงสร้างที่ต้องรองรับแรงในแนวตั้งเป็นหลัก

รายละเอียดของเหล็ก H-Beam

คุณสมบัติ:

  • หน้าตัดเป็นรูปตัว H มีปีก (Flange) และแกนกลาง (Web) ที่มีขนาดกว้างและหนาเท่ากัน
  • ให้ความแข็งแรงสูง รองรับแรงทั้งแนวตั้งและแนวนอนได้ดี

ข้อดี:

  • แข็งแรงและมั่นคง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง
  • ใช้งานในโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น อาคารสูงและสะพาน
  • มีการกระจายแรงที่ดี ช่วยลดการบิดตัวของโครงสร้าง

การใช้งาน:

  • โครงสร้างเสาและคานในอาคารสูง
  • โครงสร้างสะพาน
  • โครงสร้างฐานรากและโรงงานอุตสาหกรรม
  • โครงหลังคาโครงสร้างขนาดใหญ่

รายละเอียดของเหล็ก I-Beam

คุณสมบัติ:

  • หน้าตัดเป็นรูปตัว I มีแกนกลาง (Web) หนากว่าและปีก (Flange) แคบกว่า
  • ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักในแนวตั้งได้ดี

ข้อดี:

  • น้ำหนักเบากว่า H-Beam ทำให้ติดตั้งง่ายและลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
  • เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องการรองรับน้ำหนักในแนวนอนมาก

การใช้งาน:

  • คานในโครงสร้างอาคาร
  • โครงสร้างรองรับพื้น
  • โครงสร้างทั่วไปที่เน้นรับน้ำหนักในแนวตั้ง

การเลือกใช้งาน H-Beam และ I-Beam

เลือกใช้ H-Beam หาก:

  1. โครงสร้างต้องรับน้ำหนักในทั้งแนวตั้งและแนวนอน เช่น อาคารสูง สะพาน หรือโรงงาน
  2. งานที่ต้องการความมั่นคงและทนทานต่อการบิดตัวของโครงสร้าง
  3. งบประมาณโครงการสามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

เลือกใช้ I-Beam หาก:

  1. โครงสร้างเน้นการรับน้ำหนักในแนวตั้ง เช่น คานพื้น หรือโครงสร้างทั่วไป
  2. ต้องการลดต้นทุนโครงการ เนื่องจาก I-Beam มีราคาถูกกว่า H-Beam
  3. งานที่มีพื้นที่จำกัดในการติดตั้ง เนื่องจาก I-Beam มีน้ำหนักเบาและติดตั้งง่ายกว่า

ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้งาน

  1. ลักษณะโครงสร้าง:
    หากต้องการความแข็งแรงรอบด้าน ควรเลือก H-Beam แต่หากเป็นงานที่เน้นรับแรงแนวตั้ง I-Beam จะเหมาะสมกว่า
  2. งบประมาณ:
    H-Beam มีราคาสูงกว่า I-Beam จึงควรคำนึงถึงงบประมาณของโครงการ
  3. การติดตั้งและขนส่ง:
    H-Beam มีน้ำหนักมากกว่า ทำให้การขนส่งและติดตั้งยุ่งยากกว่า I-Beam
  4. ความเหมาะสมของงาน:
    พิจารณาจากลักษณะของงานและข้อกำหนดด้านวิศวกรรม เช่น ขนาดและน้ำหนักที่ต้องรองรับ

ข้อสรุป

เหล็ก H-Beam และ I-Beam ต่างมีบทบาทสำคัญในงานก่อสร้าง โดย H-Beam เหมาะสำหรับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องการความแข็งแรงรอบด้าน ส่วน I-Beam เหมาะสำหรับงานที่เน้นรับแรงในแนวตั้งและต้องการลดต้นทุน การเลือกใช้งานควรคำนึงถึงลักษณะโครงสร้าง งบประมาณ และข้อกำหนดของโครงการ เพื่อให้ได้โครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน และคุ้มค่าในระยะยาว!